พันธมิตรทางธุรกิจ
(Business Alliance)
คือ ข้อตกลงระหว่างธุรกิจ
โดยปกติจะทำเพื่อการลดต้นทุน และการปรับปรุงบริการให้ดีขึ้นสำหรับลูกค้า ความร่วมมือมักจะอยู่ในรูปของข้อตกลงแบบเดี่ยว
(Singleagreement)
ที่มีการแบ่งปันทั้งโอกาสและความเสี่ยงเท่าๆ
กันของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และมีการจัดการอย่างเป็นรูปแบบโดยทีมทำงานร่วมกัน หลายคนได้พยายามจัดประเภทและรูปแบบของการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจไว้ ซึ่งมีทั้งที่เหมือนและแตกต่างกันไป
ดร.ธีรยุส วัฒนาศุภโชค อาจารย์ประจำคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้แบ่งประเภทของพันธมิตรทางธุรกิจโดยใข้รูปแบบของความร่วมมือออกเป็น
3 ประเภท คือ
• พันธมิตรแบบเซ็นสัญญา (Contractual
Agreement) เป็นความร่วมมือระหว่าง
2 องค์กรขึ้นไปที่เซ็นสัญญาเพื่อร่วมมือในกิจกรรมทางธุรกิจอย่างใดอย่างหนึ่ง
เช่น การแลกเปลี่ยนความรู้ทางเทคโนโลยี การรวมทรัพยากรและทักษะการดำเนินธุรกิจเพื่อให้เกิดการลดต้นทุน
เป็นต้น โดยการทำพันธมิตรแบบนี้สามารถทำได้ในหลายรูปแบบอาทิ ช่องทางการจัดจำหน่าย การส่งเสริมการขาย
และโฆษณา การวิจัยและพัฒนา การจัดซื้อ
ธุรกิจประเภทนี้จะมีความผูกพันกันน้อย เนื่องจากยังคงเป็นองค์กรที่ดำเนินการอย่างอิสระไม่ขึ้นต่อกัน จะร่วมมือกันเฉพาะประเด็นที่ได้มีการตกลงกันไว้ในสัญญาเท่านั้น ตัวอย่างพันธมิตรรูปแบบนี้ อาทิ Star
alliances
ตัวอย่าง พันธมิตรธุรกิจการบินของบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ที่ร่วมมือโดยการเซ็นสัญญากับสายการบินพันธมิตรในการร่วมกัน
กำหนดเครือข่ายการให้บริการทั่วทุกภูมิภาค หรือกรณีของบริษัท
แมคโดนัลด์แถมของเล่นจากบริษัทดิสนีย์ให้กับลูกค้าที่ซื้อแฮมเบอร์เกอร์ อีกตัวอย่างหนึ่งคือ
บริษัทผู้ผลิตเครื่องดื่มบำรุงกำลัง “คาราบาวแดง ” ที่ในช่วงเริ่มต้นธุรกิจได้ตัดสินใจที่จะเป็นพันธมิตรธุรกิจกับบริษัทเสริมสุข จำกัดซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตเครื่องดื่ม “ เป๊ปซี่ ” ในการทำแผนการขายร่วมกัน และมีช่องทางการจัดจำหน่ายมากมายที่จะช่วยให้คาราบาวแดงเป็นที่รู้จักและติดตลาดได้ง่ายขึ้น เป็นต้น
• พันธมิตรแบบเข้ามาถือหุ้นระหว่างกัน (Minority
Equity Agreement) เป็นลักษณะที่ธุรกิจมีความร่วมมือกันด้านทุนในการประกอบธุรกิจ
เช่น การถือหรือแลกเปลี่ยนหุ้นระหว่างกัน
การกำหนดราคาหุ้นของบริษัทแล้วให้บริษัทพันธมิตรเข้ามาซื้อหุ้นในราคาต่ำกว่าราคาตลาด ซึ่งจะทำให้แต่ละบริษัทมีสิทธิในส่วนแบ่งกำไรของบริษัทพันธมิตร เป็นการลดปัญหาความขัดแย้งด้านผลประโยชน์
ของแต่ละบริษัท และสามารถนำไปสู่ความร่วมมือในด้านต่างๆ
เช่น ตลาด เทคโนโลยี การเงิน และการจัดซื้อ เป็นต้น
วิธีนี้จะมีความร่วมมือที่เหนียวแน่นมากกว่าการเซ็นสัญญา เนื่องจากมีเรื่องของเงินทุนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
• พันธมิตรแบบธุรกิจร่วมทุน (Joint
Venture) จะแตกต่างจากพันธมิตรแบบเข้ามาถือหุ้นระหว่างกันเพราะพันธมิตรแบบธุรกิจร่วมทุนเป็นการร่วมทุนในการจัดตั้งองค์กรใหม่ร่วมกัน ซึ่งมีการดำเนินงานที่แยกจากธุรกิจหรือองค์กรเดิมที่แต่ละฝ่ายมีอยู่แล้ว เช่น บริษัท A ร่วมทุนกับบริษัท Bเพื่อจัดตั้งบริษัท C สำหรับดำเนินงานอย่างใดอย่างหนึ่งตามวัตถุประสงค์ร่วมกันระหว่าง
A และ B
ในการทำธุรกิจร่วมทุนนี้ แต่ละบริษัทพันธมิตรเข้าไปมีส่วนร่วมในการบริหารงานของบริษัท
Cโดยมีการกำหนดสัดส่วนการถือหุ้นของแต่ละบริษัทพันธมิตรอย่างชัดเจน ซึ่งขึ้นอยู่กับการต่อรองของแต่ละฝ่าย วิธีการนี้นับได้ว่าได้รับความนิยมในปัจจุบัน
เนื่องจากมีความคล่องตัว และอิสระทั้งในแง่นโยบายและการดำเนินงานลักษณะกิจกรรมของพันธมิตรธุรกิจจะมีด้วยกันหลายวัตถุประสงค์ สรุปได้ดังนี้
• การร่วมมือด้านการตลาด
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการแลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสาร การแลกเปลี่ยนฐานลูกค้าระหว่างกัน
การใช้ช่องทางการตลาดร่วมกัน การพัฒนาแคมเปญทางการโฆษณา
และส่งเสริมการขายร่วมกัน รวมถึงการทำตราสินค้าร่วมกัน
(Co-brand) ซึ่งมุ่งเน้นการใช้ชื่อเสียงทางด้านตราสินค้าและเครื่องหมายการค้าของพันธมิตรในการสร้างความสำเร็จทางการตลาด ในสมัยก่อน การทำตราสินค้าร่วมกัน
อ้างอิง
• ดร.ธีรยุส วัฒนาศุภโชค 2547 “ กลยุทธ์เพื่อการเติบโต สมัยใหม่ (Innovative
Growth Strategy)”
โครงการสัมมนาวิชาการก้าวสู่ทศวรรษที่สามกับ MBA จุฬาฯ
• ดร.ธีรยุส วัฒนาศุภโชค 2549 “ เจรจาต่อรองกับพันธมิตรให้สัมฤทธิ์ผล ” MBA
Magazine No.87
Vol.8 มิถุนายน 2549
• ศิริวรรณ เสรีรัตน์ 2541 “ กลยุทธ์การตลาดและการบริหารการตลาด ” ฉบับแก้ไขปรับปรุง
Diamond in Business World
• กองบรรณาธิการ 2550 “ พันธมิตรธุรกิจ...กลยุทธ์เสริมพลังสร้างความเป็นต่อ
” แมกกาซีนออน
ไลน์
• Dr. Hirochi Yasuda, 2005. “Strategic
Alliances for SMEs”, the Asia-Pacific Tech Monitor, May-